fbpx

Raid คืออะไร และมีกี่แบบ ?

Raid คืออะไร

Written by Aoo Pattana-anurak

มีนาคม 20, 2023

Raid คืออะไร และมีกี่แบบ ?

Raid หรือ Redundant Array of Independent Disks คือเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่ใช้การรวมกันของหลายๆ ดิสก์เข้าด้วยกันเพื่อเพิ่มความเสถียรและประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูล โดยระบบ Raid จะแบ่งข้อมูลเป็นส่วนๆ แล้วจัดเก็บในหลายๆ ดิสก์พร้อมกัน ซึ่งช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูล รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูลในกรณีที่ดิสก์มีการเสียหายด้วยการทำ Mirror หรือการเขียนข้อมูลสำรองไว้ในดิสก์อื่นๆ ด้วยเช่นกัน ในบทความนี้จะกล่าวถึงหลักการทำงานของ RAID และประเภทต่างๆ ของ RAID ที่นิยมใช้ในการจัดเก็บข้อมูล

1 การจัดเก็บข้อมูลด้วย Raid

RAID (Redundant Array of Independent Disks) เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยมีการใช้หลายดิสก์มาต่อกันเพื่อสร้างความเสถียรและเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูล

2 ประเภทของ RAID

มีหลายประเภทของ RAID ซึ่งแต่ละประเภทจะมีวิธีการทำงานและความปลอดภัยที่แตกต่างกัน โดยรายละเอียดของแต่ละประเภทดังนี้

2.1 : RAID 0 (Striping Raid)

RAID 0 เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบ Striping ที่ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลสำรอง ใน RAID 0 ข้อมูลจะถูกแบ่งเป็นชุดเล็ก ๆ ที่เรียกว่า block แล้วจัดเก็บไปบนดิสก์หลายๆ ดิสก์พร้อมกัน โดยการแบ่งแยกข้อมูลนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านและเขียนข้อมูล เนื่องจากข้อมูลจะถูกเขียนที่พร้อมกันบนหลายๆ ดิสก์ ทำให้สามารถอ่านและเขียนข้อมูลได้เร็วขึ้น แต่เมื่อดิสก์ใดตัวหนึ่งเสียหายก็จะไม่สามารถกู้คืนข้อมูลได้เลย ดังนั้น RAID 0 ไม่เหมาะสำหรับการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญหรือต้องการความปลอดภัยในการจัดเก็บข้อมูล

2.2 : RAID 1 (Mirroring Raid)

RAID 1 เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบ Mirroring ซึ่งจะมีการเขียนข้อมูลลงในดิสก์ทั้งหมด ทำให้ถ้าหากดิสก์ใด ๆ เสียหาย ข้อมูลยังคงอยู่ในดิสก์อีกดิสก์ 1 ดิสก์อีกเช่นกัน โดย RAID 1 จะมีความปลอดภัยของข้อมูลสูงและความเสถียรของระบบดี เนื่องจากข้อมูลถูกเก็บไว้ในหลายๆ ดิสก์พร้อมกัน แต่จะมีความสูงในการใช้พื้นที่ดิสก์และมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า RAID 0 และ RAID 5

สำหรับการอ่านข้อมูล RAID 1 จะทำได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากสามารถอ่านข้อมูลได้จากดิสก์ใดก็ได้ ทำให้มีความเหมาะสมสำหรับใช้งานที่ต้องการความเร็วในการอ่านข้อมูล ยกเว้นกรณีที่มีการเขียนข้อมูลเข้ามาบ่อยๆ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการเขียนข้อมูลลดลง การสร้าง RAID 1 ก็จะต้องใช้จำนวนดิสก์สองชุด โดยขนาดของข้อมูลที่เขียนลงในทุกดิสก์จะเท่ากัน ทำให้มีการใช้พื้นที่จริงต่อขนาดของข้อมูลสองเท่า

2.3 : RAID 5 (Striping with Parity)

RAID 5 เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบ Striping with Parity โดย RAID 5 จะใช้การแบ่งข้อมูลเป็นส่วนเล็ก ๆ ที่เรียกว่า block และจัดเก็บในหลายๆ ดิสก์พร้อมกัน โดยข้อมูลจะถูกแบ่งและจัดเก็บใน block ตามลำดับเรียงกันในแต่ละดิสก์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าถึงข้อมูล

นอกจากนี้ RAID 5 ยังใช้การจัดเก็บข้อมูล Parity เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล โดย Parity เป็นการสร้างข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กับ block อื่น ๆ ใน RAID 5 โดยข้อมูล Parity จะถูกเขียนลงในดิสก์อีกหนึ่งดิสก์และจะถูกเข้ารหัสเพื่อสร้างข้อมูล Parity ที่จะช่วยตรวจสอบและฟื้นฟูข้อมูลที่เสียหายได้ โดยเมื่อมีการเข้าถึงข้อมูล RAID 5 จะนำข้อมูลจาก block แต่ละตัวและข้อมูล Parity มารวมกันเพื่อสร้างข้อมูลเต็มๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้หากมีดิสก์เสียหายได้

อย่างไรก็ตาม RAID 5 ยังมีข้อจำกัดอย่างหนึ่งคือความเสียหายของดิสก์เพียงตัวเดียวอาจทำให้ข้อมูลสูญหายได้ แต่การใช้ RAID 5 ก็ยังเป็นทางเลือกที่นิยมใช้ในการจัดเก็บข้อมูลที่มีความสำคัญในองค์กร โดยมักนำมาใช้เพื่อเก็บข้อมูลอย่างเช่นไฟล์ข้อมูล ไฟล์เว็บไซต์ และแอปพลิเคชัน

2.4 : RAID 6 (Striping with Dual Parity)

RAID 6 เป็นการจัดเก็บข้อมูลแบบ Striping ซึ่งใช้หลายดิสก์ในการเก็บข้อมูล แต่เพิ่มความมั่นคงในการสูญเสียข้อมูลด้วยการเพิ่ม Parity Block อีก 1 block ในแต่ละ Stripe ซึ่งจะช่วยตรวจสอบและฟื้นฟูข้อมูลในกรณีที่มีการสูญเสียข้อมูลในดิสก์ 1 ดิสก์ ใน RAID 6 นั้นมีการเพิ่ม Parity Block เพิ่มเติมอีก 1 block เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการสูญเสียข้อมูลจาก 1 ดิสก์ นอกจากนี้ RAID 6 ยังสามารถใช้งานได้ถ้ามีการสูญเสียข้อมูลใน 2 ดิสก์ในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นความแตกต่างกับ RAID 5 ที่สามารถใช้งานได้เมื่อมีการสูญเสียข้อมูลใน 1 ดิสก์เท่านั้น

2.5 : RAID 10 (Combination of RAID 1 and RAID 0)

RAID 10 เป็นการผสมรวมของ RAID 1 และ RAID 0 เข้าด้วยกัน ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพในการเขียนและอ่านข้อมูลที่สูงกว่า RAID 1 แต่ก็มีความปลอดภัยของข้อมูลใกล้เคียงกับ RAID 1

การใช้งาน RAID 10 จะใช้กับอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีจำนวนฮาร์ดดิสก์สองชุดขึ้นไป โดยจะแบ่งข้อมูลออกเป็นสองส่วน และทำการเขียนข้อมูลในแต่ละส่วนไปยังดิสก์แต่ละชุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนและอ่านข้อมูล รวมถึงมีความปลอดภัยในการสูญเสียข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์เพียงชุดเดียว

แต่ RAID 10 ก็มีข้อเสียคือต้องใช้ฮาร์ดดิสก์จำนวนมากกว่าในการใช้งาน RAID 1 เพราะต้องใช้ฮาร์ดดิสก์สำหรับการ Mirror ข้อมูลและสำหรับ RAID 0 ซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายในการซื้อฮาร์ดดิสก์สูงกว่าในการใช้งาน RAID 1 แต่ก็จะมีประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีกว่า RAID 1 ในบางกรณีที่ต้องการความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลที่สูงกว่านั่นเอง

2.6 : RAID 50 (Combination of RAID 5 and RAID 0)

RAID 50 เป็นการเชื่อมต่อดิสก์แบบ Redundant Array of Independent Disks (RAID) ที่เป็นการผสมผสานระหว่าง RAID 5 และ RAID 0 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความปลอดภัยของข้อมูล

ใน RAID 50 จะมีการเชื่อมต่อกลุ่มของดิสก์ที่มีการจัดเก็บข้อมูลแบบ RAID 5 หลายชุด และจะใช้ RAID 0 เพื่อเชื่อมต่อกลุ่ม RAID 5 ทั้งหมดเข้าด้วยกัน โดย RAID 0 จะทำหน้าที่แบ่งข้อมูลออกเป็นบล็อกเล็กๆ และแต่ละบล็อกจะถูกเขียนลงในดิสก์ที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการอ่านและเขียนข้อมูลของ RAID 50 มีความเร็วมากขึ้น

แต่ก็ต้องทราบว่า RAID 50 ยังมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลเหมือนกับ RAID 5 โดยถ้าหากดิสก์ใด ๆ ในกลุ่ม RAID 5 เสียหาย ข้อมูลใน RAID 50 ก็จะถูกเสียด้วย ดังนั้นการเลือกใช้ RAID 50 ควรพิจารณาความเสี่ยงในการสูญเสียข้อมูลและความเหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์โดยละเอียด

2.7 : RAID 60 (Combination of RAID 6 and RAID 0)

RAID 60 เป็นการรวมกันระหว่าง RAID 6 และ RAID 0 เพื่อให้ได้คุณสมบัติของทั้งสองประเภท โดย RAID 6 จะใช้การแฟ้มแฟ้มฟ้องซ้ำที่สองในการสร้างการเชื่อมต่อเพื่อป้องกันการสูญเสียข้อมูลจากการลบและการละเมิด ในขณะเดียวกัน RAID 0 จะใช้เทคโนโลยีการเชื่อมต่อข้อมูลแบบสตริปต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านและเขียนข้อมูล

ด้วยการรวมการทำงานของ RAID 6 และ RAID 0 ใน RAID 60 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูล รวมถึงปรับปรุงความปลอดภัยของข้อมูลด้วยการมีการสำรองข้อมูลที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ RAID 60 อาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อฮาร์ดดิสก์ที่สูงขึ้นเมื่อเทียบกับ RAID 5 และ RAID 6 และจะไม่มีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพเมื่อใช้กับการเขียนข้อมูลแบบสุ่มที่สูง เนื่องจากการใช้งาน RAID 60 จะต้องมีการสร้างการเชื่อมต่อมากขึ้น ทำให้เกิดความล่าช้าในการเขียนข้อมูลที่สูงขึ้น

นอกจากนี้ยังมีระบบ RAID ที่ไม่ได้ใช้สัดส่วนดิสก์ (non-standard RAID) อีกหลายรูปแบบ ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยี RAID ในลักษณะที่ไม่ได้กำหนดไว้เป็นทางการ แต่ก็มีการนำมาใช้งานบ้างในบางกรณีด้วยกัน

3. การเลือกใช้ RAID ให้เหมาะสมกับการใช้งาน

การเลือกใช้ RAID ต้องพิจารณาความเหมาะสมต่อการใช้งาน เนื่องจาก RAID แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ RAID 1 จะเหมาะสำหรับการใช้งานที่มีความสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยของข้อมูล แต่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อฮาร์ดดิสก์ที่มีความจุสองเท่าของข้อมูล ในขณะที่ RAID 0 จะเหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการความเร็วในการประมวลผลข้อมูล แต่ไม่มีความปลอดภัยของข้อมูลเมื่อเกิดความสูญเสีย ดังนั้นการเลือกใช้ RAID ต้องพิจารณาตามความต้องการในการใช้งานและสภาพแวดล้อมในการทำงานเป็นหลัก

สรุป

การใช้งาน RAID เป็นวิธีการที่ดีในการเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยของระบบเก็บข้อมูล โดย RAID มีหลายประเภทให้เลือกใช้ตามความต้องการของการใช้งาน แต่ละประเภทของ RAID มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การเลือกใช้ RAID ต้องพิจารณาตามความต้องการและสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้งาน

Microsoft 365

Microsoft 365

สั่งซื้อ คลิก >>  Microsoft 365 รายปี ที่ Thai Config ได้แล้ว

gmail google workspace อีเมล์บริษัท

Google Workspace

สั่งซื้อ คลิก >>  Google Workspace รายปี ที่ Thai Config ได้แล้ว

โฆษณา



Load Balancer คืออะไร ?

Load Balancer คืออะไร ?

Load Balancer คืออุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยกระจายการร้องขอข้อมูลจากเครือข่ายไปยังหลาย ๆ แหล่งข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์...

Active Directory (AD) คืออะไร ?

Active Directory (AD) คืออะไร ?

Active Directory (AD) เป็นโครงสร้างระบบจัดการผู้ใช้และความปลอดภัยของ Windows Server ที่พัฒนาโดย Microsoft...

Linux คืออะไร?

Linux คืออะไร?

Linux เป็นระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการ IT มากกว่า 20 ปี...

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ …

สินค้าและบริการทั้งหมด

IT Administrator

บริการ IT Admin Service รับดูแลระบบ MA ระบบคอมพิวเตอร์ ซ่อมบำรุงทั้งในสถานที่ และบนคลาวด์

Social Media

บริการสร้างและดูแลโซเชียลมีเดียว เขียนคอนเทนท์ ให้แบรนด์ของคุณมีประสิทธิภาพเพื่อให้มากขึ้น

Cloud Solutions

บริการออแบบและวางระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง ด้วย Microsoft Azure , Google Cloud , AWS และ VMware

SEO

ที่ปรึกษาเรื่องการดูแลเว็บไซต์ อัปเดทข้อมูลเว็บไซต์ ข้อความ รูปภาพ เพื่อรองรับการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ

SSL Certificate

จัดจำหน่ายใบรับรองเว็บไซต์ SSL Certificate ที่ทำให้คุณเข้าเว็บไซต์ผ่านโปรโตคอล https:// อย่างปลอดภัย

Team Training

บริการจัดฝึกอบรมให้ความรู้ในด้านไอที เช่น การใช้งาน Google Workspace, Microsoft 365 และอื่นๆ

Website Development

บริการทำเว็บไซต์ รับออกแบบและพัฒนาเว็บไซต์บริษัท ทำเว็บไซต์องค์กร์ เว็บไซต์พร้อมใช้งานได้ทันที

Email Company

จำหน่ายอีเมล์บริษัท อีเมลองค์กร Google Workspace และ Microsoft 365 ราคาถูก

รับคอนฟิกระบบ

บริการคอนฟิกระบบ Network บริการวางระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร

Co-Location Server

บริการพื้นที่ Internet Data Center สำหรับฝากวางเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่ายแบบ Full Rack

จดทะเบียนโดเมน

รับจดทะเบียนโดเมน นามสกุล .com .net .org และอื่นๆ สามารถนำชื่อโดเมนไปตั้งชื่อเว็บไซต์และอีเมลได้

พันธมิตรทางธุรกิจ

ลูกค้าของเรา

error: Content is protected !!