OSI Model คืออะไร?

OSI Model คืออะไร

Written by admin

กรกฎาคม 24, 2023

OSI Model คืออะไร?

OSI Model คืออะไร? เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อเครือข่าย ความเข้าใจเกี่ยวกับ OSI Model เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง โดย OSI Model หรือ Open Systems Interconnection Model เป็นแบบแผนที่ใช้ในการอธิบายหรือแสดงรูปแบบการทำงานของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ที่ถูกกำหนดมาตามมาตรฐานโดย ISO (International Organization for Standardization) เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้และเข้าใจกระบวนการการส่งสัญญาณข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่าย

OSI Model ประกอบด้วย 7 ชั้น (layers) ซึ่งแต่ละชั้นมีบทบาทและหน้าที่ที่แตกต่างกัน ซึ่งการแบ่งชั้นนี้ช่วยให้เราเข้าใจการทำงานของเครือข่ายอย่างรวดเร็ว และทำให้ง่ายต่อการเพิ่มหรือปรับปรุงอุปกรณ์ในเครือข่าย โดยแต่ละชั้นมีลักษณะและหน้าที่ดังนี้:

Physical Layer (ชั้นที่ 1)

Physical Layer หรือ ชั้นที่ 1 เป็นชั้นที่ต่ำสุดและใกล้ที่สุดกับฮาร์ดแวร์ของระบบเครือข่าย มีหน้าที่ในการจัดการกับการส่งข้อมูลระดับกายภาพ รวมถึงการเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการส่งสัญญาณทางไฟฟ้า รับส่งข้อมูลในรูปแบบของบิต (bit) และควบคุมข้อมูลที่ส่งผ่านสายสัญญาณในระดับของเครื่องต่อ (connector) และสายสัญญาณ (cable) ในระบบเครือข่าย

หน้าที่หลักของ Physical Layer คือการจัดการให้สามารถส่งสัญญาณทางไฟฟ้าจากอุปกรณ์ให้ถูกต้องและส่งไปยังปลายทางได้อย่างเสถียร โดยควบคุมรูปแบบการส่งข้อมูลทางกายภาพ การทำซ้ำของสัญญาณในกรณีที่มีข้อผิดพลาดการส่งสัญญาณ และการระบุสัญญาณต่างๆ ที่ใช้ในการติดต่อกันระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ

ตัวอย่างของ Physical Layer คือการเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์ผ่านสายเคเบิล Ethernet หรือการเชื่อมต่ออุปกรณ์เครือข่ายอื่นๆ ที่ใช้สัญญาณไฟฟ้าเช่น สายความเร็วสูง (High-speed cables) เช่น USB, HDMI, DisplayPort และอื่นๆ การเชื่อมต่อที่ต่อผ่านโปรโตคอลต่างๆ ที่ใช้ใน Physical Layer สามารถใช้งานได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ในชั้นนี้เช่น Ethernet (IEEE 802.3) และ USB (Universal Serial Bus) ซึ่งทำให้สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้งานกับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายได้โดยมีความเสถียรและส่งผลให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Data Link Layer หรือ ชั้นที่ 2 เป็นชั้นที่ต่อมาจาก Physical Layer มีหน้าที่ในการจัดการกับข้อมูลในรูปแบบของภายในเครือข่าย โดยเน้นการควบคุมการเข้าถึงสื่อส่งข้อมูลและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ส่งระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย

หน้าที่หลักของ Data Link Layer คือการสร้างและควบคุม Frame ซึ่งเป็นรูปแบบของข้อมูลที่จัดทำขึ้นเพื่อส่งผ่านสื่อส่งข้อมูล โดยจัดเตรียมข้อมูลที่ส่งให้อยู่ในรูปแบบของ Frame และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รับกลับมาจากอุปกรณ์ปลายทาง ในกรณีที่เกิดข้อผิดพลาดในการรับส่งข้อมูล เช่น การส่งข้อมูลไม่สมบูรณ์ หรือเกิดความขัดแย้งระหว่างการส่งข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย ชั้นนี้มีหน้าที่ตรวจจับและแก้ไขข้อผิดพลาดในการรับส่งข้อมูลเหล่านี้เพื่อให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเสถียร

ตัวอย่างของ Data Link Layer คือการใช้งานโปรโตคอล Ethernet (IEEE 802.3) ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการส่งข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยในชั้นนี้จะมีการควบคุมการเข้าถึงสื่อส่งข้อมูลที่เกิดขึ้นในระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่าย และตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่รับกลับมาจากอุปกรณ์ปลายทาง ทำให้สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

Network Layer (ชั้นที่ 3)

Network Layer หรือ ชั้นที่ 3 เป็นชั้นที่มีหน้าที่ในการจัดการเรื่องของการส่งข้อมูลระหว่างเครือข่าย โดยใช้ IP (Internet Protocol) เป็นโปรโตคอลหลักในการส่งข้อมูล ซึ่งชั้นนี้เป็นชั้นที่เป็นตัวกลางในการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย โดยจัดเตรียมข้อมูลที่จะส่งให้อยู่ในรูปแบบของ Packet ซึ่งเป็นรูปแบบของข้อมูลที่แยกแยะด้วย IP Address และทำการเรียงลำดับข้อมูลให้อยู่ในลำดับที่ถูกต้องตามเส้นทางที่กำหนดไว้

หน้าที่หลักของ Network Layer คือการตรวจสอบและจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของ Packet ที่กำลังจะส่งผ่านเครือข่าย โดยการจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของ Packet จะช่วยให้การส่งข้อมูลระหว่างเครือข่ายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้เครือข่ายสามารถจัดเตรียมเส้นทางในการส่งข้อมูลแบบเกิดเสียงตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจุดปลายทางได้อย่างถูกต้อง

ตัวอย่างของ Network Layer คือการใช้งานโปรโตคอล IP (Internet Protocol) ในการส่งข้อมูลในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดย IP Address จะเป็นตัวกำหนดที่ชั้นนี้ใช้ในการแยกแยะอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย และช่วยให้สามารถส่งข้อมูลไปยังอุปกรณ์ปลายทางที่ถูกต้องตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ซึ่งทำให้การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเสถียร

Transport Layer (ชั้นที่ 4)

Transport Layer หรือ ชั้นที่ 4 เป็นชั้นที่มีหน้าที่ในการจัดการการส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ในเครือข่าย โดยใช้โปรโตคอลที่เป็นความสามารถของการส่งข้อมูล เช่น TCP (Transmission Control Protocol) และ UDP (User Datagram Protocol) เป็นต้น ชั้นนี้ทำหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องและความเสถียรของข้อมูลที่ถูกส่ง และให้บริการในการจัดเตรียมข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของ Segment ที่พร้อมสำหรับการส่งผ่านเครือข่าย

หน้าที่หลักของ Transport Layer คือการส่งข้อมูลจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดปลายทาง โดยการแบ่งข้อมูลให้เป็นชิ้นเล็กๆ ที่เรียกว่า Segment และทำการจัดเตรียมส่งข้อมูลให้พร้อมสำหรับการส่งผ่านเครือข่าย ชั้นนี้ยังทำหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องและความเสถียรของข้อมูลที่ถูกส่ง และสามารถทำการหายไปหากข้อมูลส่วนใดส่วนหนึ่งของ Segment ไม่ถูกต้องหรือหายไป

ตัวอย่างของ Transport Layer คือการใช้งานโปรโตคอล TCP (Transmission Control Protocol) ในการส่งข้อมูลในเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดย TCP จะทำหน้าที่ในการแบ่งข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบของ Segment และทำการตรวจสอบความถูกต้องและความเสถียรของข้อมูลก่อนที่จะส่งไปยังจุดปลายทาง ซึ่งทำให้การส่งข้อมูลเป็นไปอย่างเรียบร้อยและน่าเชื่อถือ

Session Layer (ชั้นที่ 5)

Session Layer หรือ ชั้นที่ 5 เป็นชั้นที่มีหน้าที่ในการจัดการเซสชัน (Session) หรือการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่าย ชั้นนี้ทำหน้าที่ในการสร้างและยุติเซสชัน การควบคุมการสื่อสารและการจัดการการเชื่อมต่อเพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายเกิดขึ้นในลักษณะที่มีการส่งข้อมูลที่เป็นลำดับ และแสดงความต้องการในการส่งข้อมูล

หน้าที่หลักของ Session Layer คือการสร้างและยุติเซสชัน ซึ่งเป็นกระบวนการในการติดต่อสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่อยู่ในเครือข่าย เมื่ออุปกรณ์เชื่อมต่อกัน ชั้นนี้จะทำการสร้างเซสชันที่เป็นการระบุตัวตนของอุปกรณ์ และทำการจัดการการติดต่อสื่อสารระหว่างเซสชันนี้ รวมถึงการจัดการปัญหาในการส่งข้อมูลที่เป็นลำดับให้กับเซสชัน นอกจากนี้ยังมีการควบคุมการเชื่อมต่อเพื่อให้แน่ใจว่าการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์เกิดขึ้นในลักษณะที่มีการติดต่อสื่อสารที่เป็นลำดับและความสามารถในการยุติเซสชัน

ตัวอย่างของ Session Layer คือการสร้างและบริหารเซสชันในการเชื่อมต่อระหว่างเว็บบราวเซอร์และเว็บเซิร์ฟเวอร์ เมื่อผู้ใช้เปิดเว็บบราวเซอร์และเข้าถึงเว็บไซต์ ชั้นนี้จะทำการสร้างเซสชันที่เป็นการระบุตัวตนของผู้ใช้และเว็บเซิร์ฟเวอร์ และจัดการการสื่อสารระหว่างผู้ใช้และเว็บเซิร์ฟเวอร์ในเซสชันนี้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์และติดต่อสื่อสารกับเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้อย่างเรียบร้อยและปลอดภัย

Presentation Layer (ชั้นที่ 6)

Presentation Layer หรือ ชั้นที่ 6 เป็นชั้นที่มีหน้าที่ในการแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการแสดงผลและการนำเสนอข้อมูล ชั้นนี้ทำหน้าที่ในการจัดรูปแบบของข้อมูลให้เหมาะสมกับการแสดงผลบนหน้าจอหรืออุปกรณ์อื่น ๆ ที่มนุษย์สามารถเข้าใจและติดต่อสื่อสารได้ การแปลงข้อมูลใน Presentation Layer นี้เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเครือข่ายสามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมและตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน

หน้าที่หลักของ Presentation Layer คือการแปลงข้อมูลจากรูปแบบที่เป็นไปไม่ได้ทางเครือข่ายเป็นรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับการแสดงผลและการนำเสนอ ซึ่งชั้นนี้ทำหน้าที่ในการเข้ารหัส (Encoding) ข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเครือข่ายสามารถแสดงผลในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ หรือเสียงได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีการทำการถอดรหัส (Decoding) ข้อมูลเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเครือข่ายที่เข้ารหัสไว้ก่อนหน้านี้สามารถนำกลับมาใช้งานได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์

ตัวอย่างของ Presentation Layer คือการแปลงข้อมูลที่ถูกส่งผ่านเครือข่ายในรูปแบบข้อความไปยังเครื่องลูกข่ายที่สามารถแสดงผลในรูปแบบของเว็บเบราว์เซอร์ ชั้นนี้จะทำการเข้ารหัสข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบข้อความ HTML ที่สามารถแสดงผลได้บนหน้าจอของเว็บเบราว์เซอร์ และเมื่อข้อมูลถูกส่งไปยังเครื่องลูกข่ายแล้ว ชั้นนี้จะทำการถอดรหัสข้อมูลเพื่อให้เครื่องลูกข่ายสามารถนำข้อมูลที่ได้รับมาแสดงผลในรูปแบบของหน้าจอเว็บเบราว์เซอร์ได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์

Application Layer (ชั้นที่ 7)

ชั้นที่ 7 หรือ Application Layer เป็นชั้นที่สูงที่สุดในระบบ OSI และเป็นชั้นที่ใกล้เคียงกับผู้ใช้งานที่สามารถเข้าถึงและใช้งานแอปพลิเคชันต่าง ๆ บนเครือข่าย ชั้นนี้ทำหน้าที่ในการเปิดตัวแอปพลิเคชัน และให้บริการให้กับผู้ใช้งานตามความต้องการ

หน้าที่หลักของ Application Layer คือให้บริการสำหรับแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ทำงานบนระบบเครือข่าย รวมถึงการเข้าถึงและการสื่อสารกับแอปพลิเคชันที่ทำงานบนเครือข่าย ชั้นนี้ให้บริการทั้งการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่อยู่บนโฮสต์ต่างๆ ในเครือข่ายเดียวกัน หรือในเครือข่ายที่แตกต่างกัน รวมถึงการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่อยู่บนอินเตอร์เน็ตด้วย

ตัวอย่างของ Application Layer คือเว็บเบราว์เซอร์ อีเมล (Email) ,Google Workspace, เว็บไซต์ Microsoft 365, และ Microsoft Office,โปรแกรมการสื่อสาร (Instant Messaging) ,การแชท (Chat) และการส่งไฟล์ (File Transfer) เป็นต้น ทั้งนี้การทำงานของแอปพลิเคชันในชั้นนี้จะเป็นเรื่องที่น่าสนใจของผู้ใช้งานเพราะเป็นส่วนที่ติดต่อกับแอปพลิเคชันโดยตรง และเป็นชั้นที่ผู้ใช้งานเห็นเหตุการณ์และผลลัพธ์ของการใช้งานแอปพลิเคชันได้อย่างชัดเจน

สรุป OSI Model

การใช้ OSI Model ช่วยให้นักพัฒนาโปรแกรมและผู้ดูแลระบบเครือข่ายสามารถเข้าใจและแก้ไขปัญหาในระบบเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถปรับปรุงและพัฒนาเครือข่ายให้ก้าวหน้าไปอย่างต่อเนื่อง สำหรับผู้ที่ทำงานในวงการเครือข่ายคอมพิวเตอร์ OSI Model เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการดำเนินงานและเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเครือข่ายและการสื่อสารข้อมูลของโลกดิจิทัลในปัจจุบัน

Microsoft 365

Microsoft 365

สั่งซื้อ คลิก >>  Microsoft 365 รายปี ที่ Thai Config ได้แล้ว

gmail google workspace อีเมล์บริษัท

Google Workspace

สั่งซื้อ คลิก >>  Google Workspace รายปี ที่ Thai Config ได้แล้ว

โฆษณา



IP Address คืออะไร ?

IP Address คืออะไร ?

IP Address (Internet Protocol Address) คือ รหัสที่ใช้ในการระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต...

Load Balancer คืออะไร ?

Load Balancer คืออะไร ?

Load Balancer คืออุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยกระจายการร้องขอข้อมูลจากเครือข่ายไปยังหลาย ๆ แหล่งข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์...

Active Directory (AD) คืออะไร ?

Active Directory (AD) คืออะไร ?

Active Directory (AD) เป็นโครงสร้างระบบจัดการผู้ใช้และความปลอดภัยของ Windows Server ที่พัฒนาโดย Microsoft...

Linux คืออะไร?

Linux คืออะไร?

Linux เป็นระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการ IT มากกว่า 20 ปี...

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ …