Microservices คืออะไร ? มาเจาะลึกกับระบบนี้กัน

Microservice Architecture

Written by Aoo Pattana-anurak

มีนาคม 22, 2023

Microservices คืออะไร ? มาเจาะลึกกับระบบนี้กัน

ความหมายและความสำคัญของ Microservices

Microservices คือแนวคิดการสร้างแอปพลิเคชันที่ใช้หลายบริการหรือส่วนประกอบเล็ก ๆ แยกจากกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาและการปรับปรุง แต่ละบริการมีการทำงานอิสระกัน โดยมีการเชื่อมต่อกันผ่านระบบ API หรือโปรโตคอลต่าง ๆ

การใช้งาน Microservices มีข้อดีหลายอย่าง ได้แก่

  • สามารถพัฒนาระบบได้เป็นส่วนๆ โดยทีมพัฒนาแต่ละทีมไม่จำเป็นต้องรู้ถึงรายละเอียดของระบบทั้งหมด
  • การทดสอบและปรับปรุงระบบจะสะดวกและรวดเร็วกว่า
  • ระบบที่มีการแบ่งเป็นส่วนๆ จะเป็นไปตามหลักการ SOA (Service Oriented Architecture) ทำให้ง่ายต่อการมีความยืดหยุ่นในการเพิ่มหรือลดบริการในอนาคต
  • สามารถใช้เทคโนโลยีและภาษาโปรแกรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับแต่ละบริการได้

ดังนั้น Microservices เป็นแนวคิดที่สำคัญสำหรับการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการจัดการระบบให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

การออกแบบสถาปัตยกรรม Microservices ประกอบด้วยหลายองค์ประกอบสำคัญ

  1. การคัดแยกความรับผิดชอบ (Responsibility separation) – การแบ่งบริการเป็นส่วนย่อย ๆ ที่มีความรับผิดชอบเฉพาะ เพื่อให้ง่ายต่อการพัฒนาและปรับปรุงแต่ละบริการ
  2. การสื่อสารระหว่างบริการ (Inter-service communication) – การใช้การสื่อสารระหว่างบริการในรูปแบบ API หรือโปรโตคอลต่าง ๆ เพื่อเชื่อมต่อระบบของแต่ละบริการ
  3. การรวมเข้าด้วยกันและการยืดหยุ่น (Integration and scalability) – การรวมบริการแต่ละตัวเข้าด้วยกันให้เป็นระบบโดยใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม และสามารถขยายขนาดได้ตามความต้องการ
  4. กระบวนการพัฒนาและการทดสอบ Microservices แบบแยกตัว (Independent development and testing) – การพัฒนาแต่ละบริการแยกจากกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาและทดสอบ แต่ยังคงใช้เครื่องมือที่เหมือนกันในการพัฒนาและทดสอบ
  5. การใช้งาน CI/CD (Continuous Integration/Continuous Deployment) – การใช้กระบวนการพัฒนาแบบ CI/CD เพื่อให้การปรับปรุงและการอัพเดตระบบ Microservices เป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย

การจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลในระบบ

การจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลในระบบ Microservices เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก เนื่องจากการจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดปัญหาด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย และความเสถียรภาพของระบบได้ ดังนั้น การจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลในระบบ Microservices จึงต้องมีการคำนึงถึงดัชนีการประมวลผล ปริมาณข้อมูล และรูปแบบข้อมูล อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของฐานข้อมูลที่จะนำมาใช้ในระบบ Microservices ด้วย

การเลือกฐานข้อมูลที่เหมาะสม (Choosing the right database) จึงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลในระบบ Microservices โดยควรเลือกฐานข้อมูลที่เหมาะสมกับความต้องการของระบบ เช่น หากต้องการให้มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว ก็ควรเลือกใช้ฐานข้อมูล NoSQL เนื่องจากมีการเก็บข้อมูลแบบไม่มีความสัมพันธ์ และมีความเร็วในการค้นหาข้อมูลที่สูง

การจัดการข้อมูลและการทำงานร่วมกันของบริการ (Data management and service collaboration) ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการข้อมูลและฐานข้อมูลในระบบ Microservices โดยควรมีการกำหนดวิธีการจัดการข้อมูลให้เหมาะสมกับการใช้งานแต่ละบริการ เช่น การสื่อสารระหว่างบริการ เพื่อให้บริการสื่อสารระหว่างบริการ เพื่อให้บริการทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในกระบวนการนี้จะต้องมีการกำหนดรูปแบบข้อมูลและการเชื่อมต่อในแต่ละบริการให้สอดคล้องกัน อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการจัดการข้อมูลในระบบ Microservices โดยมีแนวคิดที่เรียกว่า CQRS (Command Query Responsibility Segregation) ซึ่งเป็นแนวคิดในการจัดการข้อมูลโดยแยกการเขียนข้อมูล (Command) และการอ่านข้อมูล (Query) เพื่อให้การจัดการข้อมูลมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามความต้องการของแต่ละบริการ

การรักษาความปลอดภัยของระบบ

การรักษาความปลอดภัยของระบบ Microservices เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในการใช้งาน โดยต้องมีการรักษาความปลอดภัยทั้งระหว่างบริการและการเข้าถึงข้อมูล ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยสามารถทำได้โดยการดำเนินการดังต่อไปนี้:

  1. การรักษาความปลอดภัยระหว่างบริการ (Inter-service security): การกำหนดกฎการเข้าถึงบริการ การใช้งาน Token และการใช้งาน SSL สามารถช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ Microservices
  2. การรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูล (Data access security): การกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูล การใช้งาน Access Control List (ACL) และการใช้งาน Encryption เป็นต้น เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่ได้รับอนุญาต
  3. การเริ่มต้นใช้งาน Microservices สำหรับโปรเจ็กต์ของคุณ: การประเมินความต้องการและความพร้อม (Evaluating requirements and readiness) สามารถช่วยให้คุณเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสมกับโปรเจ็กต์ของคุณ
  4. ขั้นตอนและแนวทางในการเริ่มต้น (Steps and guidelines for getting started): การเริ่มต้นการใช้งาน Microservices ควรมีการกำหนดแผนการดำเนินงาน การออกแบบและพัฒนาระบบ การทดสอบและการปรับปรุง เพื่อให้ระบบ Microservices ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

การเริ่มต้นใช้งาน Microservices สำหรับโปรเจ็กต์ของคุณจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้:

  1. ประเมินความต้องการและความพร้อม : การเริ่มต้นการใช้งาน Microservices ต้องมีการประเมินความต้องการและความพร้อมของโปรเจ็กต์ของคุณ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ซอฟต์แวร์ (software analysis) เพื่อหาว่าการใช้งาน Microservices จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถของโปรเจ็กต์ได้อย่างไร
  2. เลือกและออกแบบฐานข้อมูลที่เหมาะสม : การเลือกและออกแบบฐานข้อมูลที่เหมาะสมจะช่วยให้การใช้งาน Microservices มีประสิทธิภาพและเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. วางแผนและออกแบบการสื่อสารระหว่างบริการ : การวางแผนและออกแบบการสื่อสารระหว่างบริการ (Inter-service communication) เป็นสิ่งสำคัญเมื่อใช้งาน Microservices เพราะความสามารถในการสื่อสารระหว่างบริการและการจัดการข้อมูลมีผลต่อประสิทธิภาพและความเสถียรของระบบ
  4. สร้างและทดสอบ Microservices แยกตัว: การสร้างและทดสอบ Microservices แยกตัว (Independent development and testing) เป็นขั้นตอนที่สำคัญในการใช้งาน Microservices เพราะช่วยให้แต่ละบริการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสถียร
  5. ใช้ CI/CD ในการเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานจริง : เป็นวิธีการที่ดีในการเตรียมพร้อมและปรับปรุงระบบ Microservices สำหรับการใช้งานจริง โดยปกติแล้วการปรับปรุงและการอัปเดตในระบบ Microservices จะเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากมีบริการหลายตัวและต้องการการรวมกันของบริการเหล่านั้นเพื่อทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาระบบ Microservices สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทได้ดังนี้

  1. ภาษาโปรแกรม (Programming languages): ภาษาที่มักจะใช้กันในการพัฒนาระบบ Microservices ได้แก่ Java, Python, Node.js, Go, Ruby, C#, Kotlin, Scala, PHP, Swift ฯลฯ
  2. เฟรมเวิร์คและไลบรารี (Frameworks and libraries): เฟรมเวิร์คและไลบรารีที่มักจะใช้กันในการพัฒนาระบบ Microservices ได้แก่ Spring Boot, Micronaut, Quarkus, Flask, Django, Express.js, Nest.js, Ruby on Rails, ASP.NET Core, Vapor, ฯลฯ
  3. แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีคลาวด์ (Cloud platforms and technologies): แพลตฟอร์มและเทคโนโลยีคลาวด์ที่มักจะใช้กันในการพัฒนาระบบ Microservices ได้แก่ Amazon Web Services (AWS), Microsoft Azure, Google Cloud Platform (GCP), IBM Cloud, Heroku, Docker, Kubernetes, Apache Kafka, RabbitMQ, ฯลฯ

การเลือกใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสมจะช่วยให้การพัฒนาระบบ Microservices เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต

ข้อควรระวังและคำแนะนำเกี่ยวกับ Microservices

  1. การวางแผนให้ระบบมีความยืดหยุ่น (Planning for flexibility) – ต้องระมัดระวังเรื่องของการแยกตัวและความยืดหยุ่นของบริการ และการวางแผนการเชื่อมโยงระหว่างบริการเพื่อป้องกันการซ้อนทับฟังก์ชั่นกัน
  2. การรักษาความสามารถในการพัฒนาและซ่อมแซม (Maintaining maintainability) – ควรมีการจัดเตรียมการเพื่อการปรับปรุงและการซ่อมแซมของบริการโดยทำการทดสอบและทำความเข้าใจซอฟต์แวร์เพื่อให้สามารถตรวจสอบปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
  3. การติดตามประสิทธิภาพและการวิเคราะห์ปัญหา (Monitoring performance and troubleshooting) – ควรมีการตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบ Microservices อย่างสม่ำเสมอและการวิเคราะห์ปัญหาโดยรวดเร็ว โดยใช้เครื่องมือตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสม

ผ่านบล็อกนี้ คุณจะได้ทำความรู้จักกับ Microservices และสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อดีของการใช้ Microservices ในการพัฒนาระบบที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คุณยังจะเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนา การทดสอบ การรักษาความปลอดภัย และการเริ่มต้นใช้งาน Microservices ในโปรเจ็กต์ของคุณ

ผ่านบล็อกนี้ คุณจะได้ทำความรู้จักกับ Microservices และสถาปัตยกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อดีของการใช้ Microservices ในการพัฒนาระบบที่ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้คุณยังจะเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการพัฒนา การทดสอบ การรักษาความปลอดภัย และการเริ่มต้นใช้งาน Microservices ในโปรเจ็กต์ของคุณ

Microsoft 365

Microsoft 365

สั่งซื้อ คลิก >>  Microsoft 365 รายปี ที่ Thai Config ได้แล้ว

gmail google workspace อีเมล์บริษัท

Google Workspace

สั่งซื้อ คลิก >>  Google Workspace รายปี ที่ Thai Config ได้แล้ว

โฆษณา



IP Address คืออะไร ?

IP Address คืออะไร ?

IP Address (Internet Protocol Address) คือ รหัสที่ใช้ในการระบุตำแหน่งของอุปกรณ์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต...

OSI Model คืออะไร?

OSI Model คืออะไร?

OSI Model คืออะไร? เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีและการเชื่อมต่อเครือข่าย ความเข้าใจเกี่ยวกับ OSI Model...

Load Balancer คืออะไร ?

Load Balancer คืออะไร ?

Load Balancer คืออุปกรณ์หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยกระจายการร้องขอข้อมูลจากเครือข่ายไปยังหลาย ๆ แหล่งข้อมูลหรือเซิร์ฟเวอร์...

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจสนใจ …